ยุคนี้องค์กรหลายแห่งเริ่มพูดถึงคำว่า “Well-being Workplace” มากขึ้น
แต่น้อยคนจะเข้าใจจริง ๆ ว่า มันไม่ใช่แค่การมีมุมกาแฟหรือโต๊ะทำงานสวย ๆ เท่านั้น
“Workplace Well-being” คือแนวคิดที่มองว่า สุขภาพกายและใจของคนทำงาน คือพื้นฐานของประสิทธิภาพ
ไม่ใช่แค่ให้ทีมทำงานหนัก แต่ทำงาน “อย่างมีพลัง” และ “มีความสุข”
เพราะสุดท้ายแล้ว… ตารางงานที่แน่นไม่ได้ทำให้องค์กรเติบโตเท่ากับ “ทีมที่สุขภาพดีและอยากมาทำงานทุกวัน”
1. สุขภาพดีคือ Productivity ที่แท้จริง
การทำงานต่อเนื่องวันละ 8–10 ชั่วโมงอาจดูขยัน
แต่หากต้องแลกกับอาการปวดหลัง ปวดคอ หรือความล้าเรื้อรัง
สิ่งที่องค์กรจะได้ไม่ใช่ “ผลงานที่ดีขึ้น” แต่คือ “คนที่หมดไฟ”
งานวิจัยจาก World Health Organization (WHO) พบว่า
คนทำงานที่มีสภาพแวดล้อมการทำงานดี มี Productivity สูงกว่ากลุ่มที่นั่งทำงานในออฟฟิศทั่วไปถึง 20–25%
และองค์ประกอบสำคัญของสภาพแวดล้อมที่ดีนั้น ไม่ใช่อะไรซับซ้อนเลย —
เริ่มจากแค่ “เก้าอี้ที่ดีต่อหลัง”
เพราะการนั่งคือพฤติกรรมที่เราทำมากที่สุดในแต่ละวัน
การเลือก เก้าอี้ทำงาน หรือ เก้าอี้ Ergonomic ที่เหมาะสม จึงเปรียบเสมือนการลงทุนในสุขภาพของทีมแบบยั่งยืน
2. เก้าอี้ดีช่วยให้คนทำงานได้ “นานแต่ไม่ล้า”
พนักงานยุคใหม่ไม่ได้ต้องการโต๊ะใหญ่หรือห้องทำงานหรู
แต่ต้องการ “เก้าอี้ที่ไม่ทำให้ปวดหลังหลังจากนั่งไป 3 ชั่วโมง”
เก้าอี้ Ergonomic หรือ “เก้าอี้ตามหลักสรีรศาสตร์”
ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับสรีระร่างกายของคนทำงานโดยเฉพาะ
ช่วยกระจายน้ำหนักจากหลังไปทั่วร่างกาย และลดแรงกดทับบริเวณสะโพกและต้นขา
เก้าอี้ทำงานที่ดีควรมีคุณสมบัติแบบนี้
-
ปรับความสูงและพนักพิงได้ตามสรีระ
-
มี Lumbar Support รองรับหลังส่วนล่าง
-
วัสดุระบายอากาศ ไม่อับชื้น
-
สามารถเอนพักผ่อนได้โดยไม่เกร็งกล้ามเนื้อ
งานวิจัยจาก Cornell University Ergonomics Department ระบุว่า
เก้าอี้ที่รองรับสรีระสามารถลดความเสี่ยงอาการ Office Syndrome ได้กว่า 54%
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้ทีมทำงานได้นานโดยไม่ล้า เริ่มได้ง่าย ๆ จาก “เก้าอี้ดี ๆ ตัวหนึ่ง”
ลองดูตัวอย่างจากโมดิน่าได้เลย
☀️ 3. พื้นที่ที่ดีต้องมี “แสง อากาศ และความยืดหยุ่น”
สุขภาพของทีมไม่ได้ขึ้นอยู่กับเก้าอี้อย่างเดียว
แต่ขึ้นอยู่กับ บรรยากาศของออฟฟิศทั้งระบบ
องค์ประกอบสำคัญของ Well-being Workplace คือ
-
แสงธรรมชาติ – ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลการหลับ-ตื่น ลดอาการง่วงในช่วงบ่าย
-
อากาศถ่ายเท – ลดคาร์บอนไดออกไซด์ในห้อง ป้องกันอาการมึนและปวดหัว
-
ความยืดหยุ่นในการทำงาน (Flexible Workspace) – เปิดโอกาสให้ทีมเลือกตำแหน่งหรือท่าทางการทำงานได้ เช่น โต๊ะยืน โต๊ะหมุน หรือเก้าอี้ที่เคลื่อนย้ายง่าย
งานวิจัยจาก Harvard Business Review ยังระบุว่า
พนักงานที่มีความยืดหยุ่นในการเลือกพื้นที่ทำงาน มีความสุขมากขึ้นถึง 33%
ออฟฟิศที่ดูแลสุขภาพทีมได้ดี มักเริ่มจาก “การเข้าใจพฤติกรรมของคนทำงาน” ก่อนเสมอ
♀️ 4. สุขภาพใจสำคัญพอ ๆ กับสุขภาพกาย
หลายองค์กรยังคงให้ความสำคัญกับ “ผลงาน” มากกว่า “ความรู้สึกของคนทำงาน”
แต่ในความจริง สุขภาพใจคือแรงขับเคลื่อน Productivity ที่ยั่งยืนที่สุด
Well-being Workplace จึงควรมีพื้นที่ให้พนักงาน “พักและรีเซ็ตตัวเอง” เช่น
-
มุมสงบเล็ก ๆ สำหรับพักสายตา
-
โซนกาแฟหรือมุมต้นไม้
-
นโยบายพัก 5 นาทีต่อชั่วโมงเพื่อลุกขยับ
อย่าลืมว่า…
“คนที่สุขภาพใจดี จะทำงานได้โดยไม่ต้องมีใครบังคับ”
5. วัฒนธรรม “ใส่ใจคน” คือสิ่งที่องค์กรยุคใหม่ต้องมี
ออฟฟิศจะดูแลสุขภาพทีมได้ดี ต้องเริ่มจาก “ความตั้งใจของผู้นำ”
เพราะต่อให้มีเก้าอี้ดี โต๊ะดี หรือแสงธรรมชาติ แต่ถ้าวัฒนธรรมองค์กรยังเร่งรีบและเครียด
พนักงานก็จะไม่มีวันรู้สึกว่าถูกใส่ใจ
เริ่มง่าย ๆ ด้วยการ
-
ให้พนักงานมีสิทธิ์เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะกับตัวเอง
-
ฟังปัญหาสุขภาพหรือความเมื่อยล้าของทีม
-
ส่งเสริม Work-life Balance อย่างจริงจัง
สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนภาพองค์กรจาก “ที่ทำงาน” ให้กลายเป็น “ที่อยู่ของคนที่อยากเติบโตไปด้วยกัน”
สรุป: ตารางงานแน่นไม่สู้ทีมที่สุขภาพดี
ในโลกที่เปลี่ยนเร็วและแข่งขันสูง
องค์กรที่ยั่งยืนไม่ใช่บริษัทที่ทำงานหนักที่สุด แต่คือ “บริษัทที่ทำงานอย่างมีความสุขมากที่สุด”
Well-being Workplace จึงไม่ใช่เทรนด์ แต่คือ “กลยุทธ์ระยะยาว” ที่ช่วยให้องค์กรแข็งแรงจากข้างใน
และทุกอย่างเริ่มได้จากสิ่งง่าย ๆ —
แค่เปลี่ยน “เก้าอี้ธรรมดา” ให้เป็น “เก้าอี้เพื่อสุขภาพ” ก็เหมือนเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานทั้งองค์กรแล้ว
อยากสร้างออฟฟิศที่ทำให้ทีมของคุณ “สุขภาพดีและอยากมาทำงาน”?
เริ่มได้เลยจากตรงนี้
️ เขียนโดย โมดิน่า
“เราเชื่อว่าการดูแลสุขภาพของทีม คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดสำหรับองค์กร”

